แผ่นจารึกท่านเวียรี่ดันลอป
แผ่นจารึกท่านเวียรี่ดันลอป
- Details
- Super User
- Sample Data-Articles
แผ่นจารึกนี้เป็นอนุสรณ์ให้ท่านเวียรี่
ดันลอปในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำที่ดีและมีความพิถีพิถันกับการดูแลเหล่าเชลยสงครามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านทุกวันวิศวกรญี่ปุ่นจะเข้ามาขอจำนวนแรงงานที่ต้องการตามงานแต่ละวันและแต่ละวัน แพทย์ต้องถูกบังคับให้ตัดสินใจว่าแรงงานคนที่ติดโรคมาลาเรียคนใดหนักหนาสาหัสกว่าแรงงานอีกคนที่มีแผลพุพองจนมีหนอนขึ้นที่เท้าอีกคนหรือบางครั้งอาการโรคเหน็บชาของอีกคนมีความสาหัสมากกว่าโรคไข้เลือดออกของอีกคนทั้งนี้เพื่อเลือกคนที่ป่วยน้อยที่สุดไปทำงาน ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรอะไรท่านเวียรี่ดันลอป เป็นคนที่พิเศษคนหนึ่งจริงๆ
ตามที่นายแพทย์ลอยด์ คาร์ จำความได้เมื่อมีโอกาสพบกับท่านท่านเล่าว่า
“เวลาเดียวที่ผมจำชายผู้ยิ่งใหญ่จากนครเมลเบิร์นได้ก็คือ
ตอนที่ท่านพูดกับผมแล้วนายทหารญี่ปุ่นตัวเล็กเดินเข้ามา
ตะคอกอะไรก็ไม่ทราบหรอกครับใส่ท่าน
แต่ท่านไม่สนใจทหารญี่ปุ่นคนนั้น
และเจ้าญี่ปุ่นนายนี้ก็เดินออกไป
แล้วกลับเข้ามาพร้อมละครอีกฉากหนึ่ง
แต่ท่านเวียรี่ไม่สนใจอีกในที่สุดทหารญี่ปุ่นก็เล่นไม้ตาย
เอาก้านไม้ไผ่มาตีท่านเวียรี่ที่บริเวณน่อง
แต่ท่านเวียรี่ก็ไม่สนใจอีกทหารญี่ปุ่นไม่สามารถทำให้ท่านโกรธได้
ในที่สุดก็ต้องละจากไปเองท่านเป็นคนที่พิเศษน่าประทับใจจริงๆ”
มีแพทย์ชาวออสเตรเลียอังกฤษดัทช์
และอเมริกันประมาณสิบสองท่านเห็นจะได้ในช่วงที่สร้างทางรถไฟสายนี้ เช้าแต่ละวันพวกเขาจะต้องสวมบทของพระผู้เป็นเจ้าไปชี้ชะตาชีวิตของเหล่าเพื่อนทหารว่า ท่านใดที่เจ็บป่วยเกินกว่าจะไปทำงานได้ดังที่
คุณบิลดันน์
อธิบายไว้ว่ามาตรวัดของความสามารถของแรงงานคนหนึ่งบางครั้งวัดจากจำนวนเลือดที่ออกมาจากอุจจาระของเขา
“ การคัดเลือกคนไปทำงานพวกนั้นไม่ยอมรับว่าเชลยป่วย
ดังนั้นนายแพทย์คนเดียวที่เรามีอยู่คือนายแพทย์พาร์คเกอร์
ได้พยายามปกป้องผู้ที่ป่วยหนักด้วยวิธีการต่างๆ
แต่ก็มีความยากลำบากมากอยู่เหมือนกัน
พวกผู้คุมซึ่งไม่มีความรู้ด้านการแพทย์เลย
แน่นอนที่สุด ตอนพวกเราถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานตอนเช้าตรู่
ต้องมานั่งถ่ายอุจจาระกองบนพื้นเพื่อให้พวกนี้ดูว่า ในอุจจาระนะมีเลือดหรือไม่
หากพวกผู้คุมเห็นว่ามีเลือด 50% แสดงว่าแข็งแรงพอจะทำงานได้
หากมีเลือด 80% ก็จะได้พักหนึ่งวัน
และนั่นเป็นเพียงวิธีเดียวที่ตัดสินว่าใครต้องไปทำงาน
และก็เป็นวิธีเดียวที่จะให้ผู้เหนื่อยได้พักเอาแรง”
นายแพทย์ก็ถูกบังคับให้ใช้การรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์พื้นฐานแบบโบราณส่วนยานั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะไม่มียาจ่ายให้ผู้ป่วย
นายแพทย์โรวลี่ ริชาร์ดส์ขยายความเรื่องนี้ต่อว่า
“คืออย่างนี้ครับนี่เป็นปัญญาแต่เราต้องใช้หัวคิดตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นผ้าพันแผลเราต้องฉีกผ้าปูเตียงเพราะมันขาดวิ่นจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว
หรือแม้แต่มุ้งกันยุงผ้าห่มหรืออะไรก็ได้ที่ฉีกเป็นแถบได้เราก็เอามาต้มฆ่าเชื้อ
และต้มซ้ำเล่าซ้ำเล่าและเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการโรคบิดท้องร่วง
ให้หายปวดท้องผมต้องให้คนที่ไม่ป่วยไปทำถ่านจากการเผาฟืน...
ถ่านนี้นะเป็นยาช่วยแก้ปวดท้องได้ หรืออย่างน้อยช่วยผู้ป่วยทางใจได้ก็ยังดี”
ความอุตสาหะเยี่ยงวีรบุรุษของเหล่านายแพทย์ได้รับการส่งเสริมด้วยฝ่ายออเดอร์ไลน์ซึ่งเป็นฝ่ายให้กำลังใจผู้ใกล้เสียชีวิตไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อนแต่ปฏิบัติงานตามความใจบุญของตน
ท่านเซอร์จอห์นคาร์ริก จำการทำงานของท่านกับผู้ป่วยใกล้ตายได้ว่า
“กลุ่มอาสากลุ่มนี้จะกอดผู้ป่วยไว้
และก็ให้ซึ่งความรักซึ่งเป็นความรักแท้ๆ
ต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังจะสิ้นใจความตาย
มิใช่สิ่งที่ทุกคนจะกลัวเหมือนกลัวการติดเชื้อ
ทุกคนยอมรับความตายกันหมด
มันเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับมัน”
ทุกคนที่มาสร้างทางรถไฟสายพม่า – ไทยสายนี้
ล้วนเคยป่วยเป็นโรคท้องร่วงมาแล้วทั้งสิ้นอีกทั้งโรคมาลาเรียที่เป็นแล้วเป็นอีกเช่นเดียวกันโรคประเภทอื่นๆ
คุณบิลดันน์เล่าให้ฟังว่า
“มันเป็นเรื่องตลกมากผมถูกมาลาเรียจู่โจม 43 ครั้ง...
เมื่อผมพูดว่าผมถูกจู่โจมนั้นผมหมายถึงว่าโรคกำเริบมากกว่า
เพราะผมเคยเป็นไข้สูงจนเพ้อสองครั้งผมเคยพูดอยู่เสมอว่า
ถ้าผมออกไปจากที่นี่ได้และถูกมาลาเรียจู่โจมอีก
ผมต้องขอผ้าปูเตียงหมอนและผ้าห่ม
อาทิตย์แรกที่ผมหลุดไปได้ผมเป็นไข้มาลาเรียจริงๆ
ผมเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพ
และผมก็ได้ทุกอย่างที่ขอผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ”
ท่านเวียรี่ดันลอปได้กลายเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแต่ความจริงแล้วยังมีนายแพทย์ที่ให้ความประทับใจเพื่อนเชลยด้วยกันดังเช่นคุณเควินเฟเก็นและคุณบรูสฮั้นท์ต่างก็ได้รับความนับถือไม่แพ้ท่านเวียรี่ นายแพทย์บนทางรถไฟสายมรณะสายนี้ต่างก็ได้รับความนับถือว่าเป็นวีรบุรุษและนักบุญด้วยกันทั้งสิ้นพวกเขาต้องเสียสละต้องตกทุกข์ได้ยากพร้อมกับพวกเชลยและต้องรักษาทั้งร่างกายและวิญญาณของเหล่าชายเชลยผู้ซึ่งต้องทำงานตรากตรำหิวโหยและเสียชีวิตเพื่อสังเวยต่อทางรถไฟสายอาภัพที่เชื่อมเส้นทางระหว่างไทยและพม่าเส้นนี้
โรคที่ทุกคนกลัวที่สุดคืออหิวาตกโรคหากท่านต้องการทราบว่าอหิวาตกโรคเข้าจู่โจมสวาปามแรงงานผู้สร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะนี้อย่างไรกรุณากดหมายเลข701
701อหิวาตกโรค
ในเดือนพฤษภาคมปีพ.ศ. 2486 อหิวาตกโรคระบาดทั่วเส้นทางรถไฟสายนี้ด้วยความโหดร้ายและทารุณอย่างน่าสยดสยองที่สุด
คุณบิลแฮสเกลล์ ให้คำบรรยายเรื่องโรคนี้ว่า
“ คืออย่างนี้ครับอหิวาตกโรคมีผลต่อระบบของเหลวในร่างกายเรา
ถ้าร่างกายคุณขับสารคัดหลั่งสีขาวออกจากร่างกายนั่นคือถ่ายอุจจาระ
หรืออาเจียนจนของเหลวเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว
ผมหมายถึงว่ามันจะทำให้ร่างกายของคุณขาดน้ำอย่างรวดเร็ว
แม้เพื่อนสนิทคุณก็จะจำไม่ได้ถ้าคุณเจอโรคนี้จู่โจมเข้ามา
เพราะว่าโรคนี้จะขับของเหลวออกจากร่างกายของคุณอย่างรวดเร็ว
คุณจะมีรอยเหี่ยวย่นน้อยแต่ว่ากระบอกตาของคุณจะถลนโปนออกมามันน่ากลัวมาก
ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงมันจะทำให้คนร่างกายที่แข็งแรงล่ำสัน
กลับกลายเป็นคนอ่อนแรงปวกเปียกได้ เพราะหากร่างกายคนเราขับของเหลวออก
เกลือแร่และสิ่งต่างๆก็จะถูกขับออกมาด้วย
เมื่อคุณขาดเกลือกล้ามเนื้อของคุณก็จะกระตุกและก็เป็นตะคริว
ต่อจากนั้นก็มีแต่อาการแย่ลงแย่ลง
ท้องท่อนขาและแขนก็จะบิดงอตามอาการของการเป็นตะคริวไป ”
หมอในค่ายจึงถูกบังคับให้คิดวิธีในการให้น้ำกับผู้ป่วยอหิวาตกโรค
นายแพทย์ โรวลี่ ริชาร์ดส์ จำความได้ว่า
“ สิ่งสำคัญก็คือต้องให้ของเหลวเข้าทางเส้นเลือดเข็มที่เรามีอยู่ก็ใช้ไม่ได้
ในค่ายที่เราอยู่ มักมีคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเราอยู่เสมอ
พวกเขาจะหักท่อทองเหลืองจากรถบรรทุกของพวกทหารญี่ปุ่น
หรือไม่ก็จากที่ไหนก็ตามเถอะแล้วพวกเขาก็จะพยายามทำท่อให้เป็นเข็มเล็กๆ
เพื่อให้ใช้ฉีดเข้าทางเส้นเลือดได้และก็เพื่อให้เราฉีดของเหลวเข้าร่างกายผู้ป่วยได้”
คุณสแตนอาร์นีลจดสมุดบันทึกของเรื่องความโหดร้ายประจำวันตอนหนึ่งไว้ว่า
วันที่ 18 พฤษภาคมเชลยนามหนึ่งเสียชีวิตเมื่อคืนนี้ จากอหิวาตกโรค
วันที่ 20 พฤษภาคมอหิวาตกโรคกรณีใหม่ 4 ราย
วันที่ 21 พฤษภาคมเสียชีวิตอีกสองรายด้วยอหิวาตกโรค
วันที่ 22 พฤษภาคมเชลยเสียชีวิตอีกหนึ่งรายเมื่อคืนด้วยอหิวาตกโรค
วันที่ 23 พฤษภาคมเช้าวันนี้มีกรณีสงสัยอหิวาตกโรคอีกสี่ราย
ทุกๆวันจำนวนจะทวีมากขึ้นจนวันที่ 25 มีสามรายวันที่ 26 มีห้ารายและวันที่ 27 มี12 รายศพจะถูกเผาบริเวณเมรกองฟืนซึ่งเผาไปทั้งวันตลอดเดือนแห่งความมรณะเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนจากทุกกลุ่มที่ถูกบังคับให้ทำงานบนทางรถไฟสายนี้
ชาวออสเตรเลีย สามารถควบคุมสถานการณ์ที่น่ากลัวของอหิวาตกโรคได้ดีกว่าเพื่อนพวกเขาเข้มงวดเรื่องสุขอนามัยที่สุดเท่าที่ทำได้ไม่มีใครกินอาหารก่อนลวกภาชนะเชลยชาติอื่นถึงกับนำวิธีปฏิบัตินี้ไปใช้ตาม