ในขณะนี้พวกเรากำลังยืนอยู่บนเส้นทางรถไฟสายเก่าซึ่งเมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของสะพานโครงค้ำซึ่งมีความยาวประมาณ 200 เมตรขอเชิญท่านผู้ชมเริ่มเดินได้... เพียงเดินลงไปไม่กี่ก้าวด้านซ้ายมือของท่านท่านจะเห็นฐานรากปูนซีเมนต์พร้อมกับเครื่องบ่งชี้ที่ทำด้วยไม้ไผ่ด้านขวาไกลออกไปเล็กน้อยท่านจะได้เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดเจาะเข้าไปในหินหลุมเหล่านี้คือตัวหนุนโครงสร้างสะพานท่านจะเห็นได้ว่ายังมีหมอนรถไฟไม้สักชิ้นเดิมที่ใช้กันในสมัยนั้นหลงเหลือให้เห็นอยู่กรุณามองตรงไปข้างหน้าตามทางเดินนี้ท่านจะได้เห็นกำแพงก้อนหินคือหล่อโดยไม่ใช้ปูนยากำแพงนี้สร้างขึ้นมาด้วยก้อนหินที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาที่ตัดด้วยการฝ่าช่องไฟนรกสมัยนั้น

ท่านผู้ชมจะรู้สึกว่าก้อนหินที่ใต้เท้าของท่านนั้นทำให้เดินลำบากขณะที่ท่านเดินสู่จุดชมวิวแควน้อยลองนึกภาพดูว่าหากท่านต้องเดินบนทางขรุขระเช่นนี้เป็นชั่วโมงๆภายใต้แดดร้อนๆสุดแสนจะทนหรือภายใต้ฝนที่เทลงมาอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนและต้องยกก้อนหินขนาดใหญ่เล็กหรือหมอนรถไฟไม้สักด้วยเท้าที่บวมเต่งหรือไม่ก็เป็นแผลถลอกพุพองอยู่และต้องเดินขึ้นลงไปมา

คุณเรย์พาร์คินเล่าว่าสภาพตอนนั้นดูเหมือนขบวนแห่ศพที่มีแต่คนผอมโซเหลือแค่โครงกระดูกเดินกันตาม

จังหวะก้าวเท้าเขาขยายความต่อว่าการที่เราต้องยกเปลหามอีกทั้งน้ำหนักของสิ่งที่ต้องแบกหามอยู่บนมือข้างหนึ่งทำให้ใจสลายไปกองอยู่บนดินเสียแล้วไม่มีอะไรในสมองเลยเพียงแต่รู้สึกว่ามันเป็นงานหนักที่น่าสะอิดสะเอียนรู้สึกถูกกดขี่บังคับในเวลาเช่นนั้นพวกเราเงียบเป็นเป่าสากบ่อยครั้งสำหรับตัวผมเองแล้วผมไม่สามารถบอกคุณได้หรอกว่าผมคิดอะไรอยู่และผมมีความรู้สึกเช่นไรแค่ขอให้เท้าผมพ้นพื้นตรงนั้นเป็นดีเชลยส่วนใหญ่เดินย่ำตามทางเดินด้วยเท้าเปล่ารองเท้าบูทเป็นของหายากเพราะส่วนมากไม่เปื่อยก็ใส่จนขาดวิ่นไปแล้ว

 

คุณคลิฟมอสเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง

 

                                                                “ผมมีรองเท้าบูทคู่เก่งสภาพดีเมื่อผมไปถึงที่นั้น

                ผมอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งรองเท้าผมหายไป

                และก็วันหนึ่งตอนผมเดินวนเวียนผ่านหญ้าสูงห่างกระท่อมสักห้าสิบหลาเห็นจะได้

                ผมพบรองเท้าบูทคู่หนึ่ง

                ผมเดาว่าคงต้องมีใครขโมยและซ่อนมันไว

                โดยที่เจ้าตัวขโมยเองก็หามันไม่เจอหรือไม่ได้ไปหามันซ่อนแล้วลืมที่

                และก็รองเท้าคู่นั้นก็เป็นขนาดของผมด้วย

                ผมก็เลยโชคดีมากๆที่ได้มันกลับมา

เสื้อผ้าที่เหล่าเชลยมีใส่ตอนไปถึงค่าย ในไม่ช้าก็เปื่อยฉีกขาดไปตามเวลาในที่สุดทหารญี่ปุ่นก็ให้กางเกงชั้นในผ้าฝ้ายแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าแล๊บแล๊บคล้ายๆกับกางเกงในจีสตริงซึ่งเหล่าเชลยเรียกมันว่าแจ๊บแฮปปี้ พวกเชลยใส่แล๊บแล๊บช่วงทำงานเวลากลางวันและเก็บเสื้อผ้าของเขาไว้ใส่กันหนาวตอนกลางคืน

 

 

Go to top
JSN Dona 2 is designed by JoomlaShine.com | powered by JSN Sun Framework